วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทรัพยากรธรรมชาติ



ทรัพยากรน้ำ และ ทรัพยากรป่าไม้



ทรัพยากรน้ำ




           ทรัพยากรน้ำ หมายถึง แหล่งต้นตอของน้ำที่เป็นประโยชน์หรือมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ ทรัพยากรน้ำ มีความสำคัญเนื่องจากน้ำเป็นสิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด การนำน้ำมาใช้ในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บ้านเรือน นันทนาการและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม น้ำที่มนุษย์นำมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ ดังกล่าวนั้นจะเป็นน้ำจืด แต่น้ำจืดในโลกเรามีเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น และปริมาณ 2 ใน 3 ของน้ำจืดจำนวนนี้เป็นน้ำแข็งในรูปของธารน้ำแข็งและน้ำแข็งที่จับตัวกันอยู่ที่ขั้วโลกทั้งสองขั้ว ปัจจุบันความต้องการน้ำมีมากกว่าน้ำจืดที่มีอยู่ในหลายส่วนของโลก และในอีกหลายพื้นที่ในโลกกำลังจะประสบปัญหาความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานของน้ำ ในอนาคตอันไม่ไกลนัก กรอบปฏิบัติเพื่อการจัดสรรทรัพยากรน้ำให้แก่ผู้ใช้น้ำ (ในพื้นที่ที่มีกรอบปฏิบัติแล้ว) 
             เรียกว่า "สิทธิการใช้น้ำ" (Water rights)  โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเมฆ เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำ ทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ






             น้ำผิวดิน ได้แก่น้ำในแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบและในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นน้ำจืด ปกติน้ำผิวดินจะได้รับการเติมจากฝนหรือหิมะ และจะหายไปตามธรรมชาติด้วยการะเหย การไหลออกสู่ทะเลและการซึมลงไปใต้ดิน น้ำผิวดินตามธรรมชาติสามารถเพิ่มพูนได้โดยการนำน้ำเข้ามาจากแหล่งในลุ่มน้ำอื่นด้วยการขุด คลองส่งน้ำ หรือ วางท่อส่งน้ำ หรืออาจทำด้วยวิธีอื่นๆ แต่ก็ได้ไม่มาก มนุษย์เรามีส่วนทำให้ระบบน้ำผิวดินไม่มั่นคงหรือ "หายไป" จากการสร้างมลพิษ





              น้ำใต้ผิวดิน หรือ น้ำใต้ดิน หมายถึงน้ำจืดที่ขังอยู่ในช่องว่างของดินหรือหิน และยังหมายถึงน้ำที่ไหลอยู่ภายในชั้นหินอุ้มน้ำ หรือชั้นน้ำ (Aquifer) ซึ่งอยู่ตำกว่าระดับน้ำใต้ดิน (water table) ในบางครั้งก็มีประโยชน์ที่จะแยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง น้ำใต้ผิวดินที่อยู่ใกล้และสัมพันธ์กับน้ำผิวดิน กับ น้ำผิวดินที่สัมพันธ์กับน้ำใต้ผิวดินที่อยู่ลึกมากในชั้นหินอุ้มน้ำ บางครั้งก็เรียกน้ำชนิดนี้ว่า "น้ำซากดึกดำบรรพ์" (Fossil water)น้ำในดินมีลักษณะเป็นส่วนๆ เรียกว่าชั้นหินอุ้มน้ำ หรือชั้นน้ำ น้ำฝนที่ตกลงมาจะถูกซึมซับและไหลมารวมกันที่นี่ ปกติองค์ประกอบของมันน้ำในชั้นหินอุ้มน้ำจะอยู่ในสภาวะที่เกือบเป็นการ "สมดุลอุทกสถิต" (Hydrostatic equilibrium) องค์ประกอบของน้ำในชั้นหินอุ้มน้ำดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับขนาดของช่องหรือรูพรุนของหิน ซึ่งหมายความว่าอัตราการดึงหรือสูบน้ำออกมาใช้จะถูกจำกัดด้วยอัตราการซึมผ่านที่เร็ว




ประโยชน์ของน้ำ

                   การใช้น้ำจืด สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทที่เรียกว่า "บริโภคแล้วหมดไป" (consumptive) และ "บริโภคได้ต่อเนื่อง" (non-consumptive) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า "ใช้ได้ต่อเนื่องได้ใหม่" การใช้น้ำที่นับเป็นประเภทบริโภคหมดไปได้แก่การใช้ที่เมื่อใช้แล้วไม่อาจนำกลับมาใช้อย่างอื่นได้อีกในทันที การสูญเสียจากการไหลซึมซับลงสู่ใต้ผิวดินและการระเหยก็นับเป็นประเภทบริโภคหมดไปเช่นกัน (แม้ไม่ได้ถูกบริโภคโดยมนุษย์) รวมทั้งน้ำที่ติดรวมไปกับผลิตภัณฑ์เกษตรหรืออาหาร น้ำที่สามารถนำมาบำบัดแล้วปล่อยลงสู่แหล่งน้ำผิวดินใหม่ได้อีก เช่น น้ำโสโครกที่บำบัดแล้ว จะนับเป็นน้ำประเภทใช้ต่อเนื่องได้ใหม่ ถ้าถูกนำไปใช้ต่อเนื่องในกิจกรรมการใช้น้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง

              - เกษตรกรรม มีการประมาณกันว่า ปริมาณน้ำจืดร้อยละ 70 ของโลกถูกใช้ไปเพื่อการชลประทาน


                    - อุตสาหกรรม มีประมาณว่า ร้อยละ 15 ของการใช้น้ำโดยรวมของโลกเป็นการใช้เพื่อการอุตสาหกรรม


            - ครัวเรือน มีประมาณว่าภาคครัวเรือนทั้งโลกใช้น้ำเพื่อบริโภคและอุปโภคเฉลี่ยร้อยละ 15 ซึ่งรวมถึงน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำเพื่อการปรุงอาหาร เพื่อการสุขาภิบาล และเพื่อการรดน้ำต้นไม้และสวนน้ำ



                   ประโยชน์ของน้ำจืด เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่
             - น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ


              - น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร


             -ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ


            - การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล


            - น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้


-        
           - แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ


             - ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์





ทรัพยากรป่าไม้

         ป่าไม้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ  เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคสำหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม  ถ้าป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ  ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ  เช่น  สัตว์ป่า  ดิน  น้ำ  อากาศ  ฯลฯ เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย  จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งน้ำด้วย  เพราะเมื่อเผาหรือถางป่าไปแล้ว  พื้นดินจะโล่งขาดพืชปกคลุม  เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป  นอกจากนั้นเมื่อขาดต้นไม้คอยดูดซับน้ำไว้น้ำก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และที่ลุ่มในฤดูน้ำหลากพอถึงฤดูแล้งก็ไม่มีน้ำซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ำลำธารทำให้แม่น้ำมีน้ำน้อย  ส่งผลกระทบต่อมาถึงระบบเศรษฐกิจและสังคม  เช่น  การขาดแคลนน้ำในการการชลประทานทำให้ทำนาไม่ได้ผลขาดน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้า

                ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย

        ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน  ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน  สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 

  1.  ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen) 


       ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี  เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ  ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภท  นี้  ได้แก่
       1.ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด  ได้แก่  ภาคใต้และภาคตะวันออก  ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น  ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ  เช่น  ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร  ห้วย  แหล่งน้ำ และบนภูเขา  ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ  ดังนี้
          1.1  ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร  จากระดับน้ำทะเล  ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ  เช่น  ยางนา  ยางเลี่ยน  ส่วนไม้ชั้นรอง คือ  พวกไม้กอ  เช่น  กอน้ำ  กอเดือย


        1.2  ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)  เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย  เช่น  ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร  ไม้ที่สำคัญได้แก่  มะคาโมง  ยางนา  พยอม  ตะเคียนแดง  กระเบากลัก และตาเสือ 


          1.3  ป่าดิบเขา (Hill  Evergreen Forest) ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร  ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล  ไม้ส่วนมากเป็นพวก   Gymnosperms  ได้แก่  พวกไม้ขุนและสนสามพันปี  นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่  พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมา  ได้แก่  เป้ง  สะเดาช้าง และขมิ้นต้น


       2.  ป่าสนเขา (Pine Forest) ป่าสนเขามักปรากฏอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร  ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ  ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  บางทีอาจปรากฏในพื้นที่สูง 200-300 เมตร  จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้  ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง  ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ  ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา  เช่น  กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง  รัง  เหียง  พลวง  เป็นต้น 


         3.  ป่าชายเลน (Mangrove Forest) บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม”หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฏอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอลุง  จังหวัดจันทบุรี พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน  ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง  ประสัก  ถั่วขาว  ถั่วขำ  โปรง  ตะบูน  แสมทะเล  ลำพูนและลำแพน  ฯลฯ  ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก  ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ  ปอทะเล และเป้ง  เป็นต้น


         4.  ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest) ป่าชนิดนี้มักปรากฏในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก ๆ  ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง  มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ  เช่น  ครอเทียน  สนุ่น  จิก  โมกบ้าน  หวายน้ำ  หวายโปร่ง  ระกำ  อ้อ และแขม  ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีช  ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน  เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด"  อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ  มากชนิดขึ้นปะปนกัน ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ  ได้แก่  อินทนิล  น้ำหว้า  จิก  โสกน้ำ  กระทุ่มน้ำภันเกรา  โงงงันกะทั่งหัน  ไม้พื้นล่างประกอบด้วย  หวาย  ตะค้าทอง  หมากแดง และหมากชนิดอื่น ๆ 


          5.  ป่าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล  น้ำไม่ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเล  ต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล  ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ  ใบหนาแข็ง  ได้แก่  สนทะเล  หูกวาง  โพธิ์ทะเล  กระทิง  ตีนเป็ดทะเล  หยีน้ำ  มักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง  ตามฝั่งดินและชายเขา  มักพบไม้เกตลำบิด  มะคาแต้  กระบองเพชร  เสมา และไม้หนามชนิดต่าง ๆ  เช่น  ซิงซี่  หนามหัน  กำจาย  มะดันขอ  เป็นต้น



  2.  ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)    

        ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น  ในฤดูฝนป่าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้งต้นไม้  ส่วนใหญ่จะพากันผลัดใบทำให้ป่ามองดูโปร่งขึ้น และมักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ  ป่าชนิดสำคัญซึ่งอยู่ในประเภทนี้  ได้แก่

       1.  ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ  ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไปพื้นที่ดินมักเป็นดินร่วนปนทราย  ป่าเบญจพรรณ  ในภาคเหนือมักจะมีไม้สักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี  ในภาคกลางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก  มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย  พันธุ์ไม้ชนิดสำคัญได้แก่  สัก  ประดู่แดง  มะค่าโมง  ตะแบก  เสลา  อ้อยช้าง  สาน  ยม  หอม  ยมหิน  มะเกลือ  สมพง  เก็ดดำ  เก็ดแดง  ฯลฯ  นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สำคัญ  เช่น  ไผ่ป่า  ไผ่บง  ไผ่ซาง  ไผ่รวก  ไผ่ไร  เป็นต้น
       


          2.  ป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp Forest) หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง  ป่าแพะ  ป่าโคก  ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง  ตามพื้นป่ามักจะมี  ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก  พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือกรวด  ลูกรัง  พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา  ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บนเขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีป่าแดงหรือป่าเต็งรังนี้มากที่สุด  ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทรายชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญในป่าแดง หรือป่าเต็งรัง  ได้แก่  เต็ง  รัง  เหียง  พลวง  กราด  พะยอม  ติ้ว  แต้ว  มะค่าแต  ประดู่  แดง  สมอไทย  ตะแบก  เลือดแสลงใจ  รกฟ้า  ฯลฯ  ส่วนไม้พื้นล่างที่พบมาก  ได้แก่  มะพร้าวเต่า  ปุ่มแป้ง  หญ้าเพ็ก  โจด  ปรงและหญ้าชนิดอื่น ๆ


         3.  ป่าหญ้า (Savannas Forest) ป่าหญ้าที่อยู่ทุกภาคบริเวณป่าที่ถูกแผ้วถางทำลายบริเวณพื้นดินที่ขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง  หญ้าชนิดต่าง ๆ  จึงเกิดขึ้นทดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทำให้ต้นไม้บริเวณข้างเคียงล้มตาย  พื้นที่ป่าหญ้าจึงขยายมากขึ้นทุกปี  พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าก็คือ  หญ้าคา  หญ้าขนตาช้าง  หญ้าโขมง  หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง  บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบายน้าได้ดีก็มักจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่  เช่น  ตับเต่า  รกฟ้าตานเหลือ  ติ้วและแต้ว

+
+
+
+
+
+
+
+
+

ขอบคุณข้อมูลจาก ... - http://www.school.net.th

                                   - ชื่อหนังสือ : การสร้างหนังสืออ่านประกอบเรื่อง "การจัดการทรัพยากรน้ำ" สําหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง, ผู้แต่ง: Prapun Praros, จัดพิมพ์: 1998

                                   - คู่มือประชาชน : การจัดการทรัพยากรน้ำ,ผู้จัดทำ: มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.),ผู้สนับสนุน: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.),ลักษณะ: คู่มือประชาชนด้านทรัพยากรน้ำ ปกรูปวงน้ำ,ปีที่พิมพ์: 2006


จัดทำโดย

นายวัชรากร  กัณหา รหัสนิสิต 55010919589 รายวิชา 0026008 กลุ่ม 1





วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งโซซอน



กษัตริย์ซุกจง แห่งราชวงศ์โชซอน (ลีซุน)




     พระนามเต็ม : สมเด็จพระราชา ซุกจง ฮยอนอึย ควางยุน เยซอง ยองรยอล ยูโม ยอนกุน ฮงอิน จุนด็อก แบชอน แฮบโด คเยฮยู ด๊กคยอง จองจุง ฮยอปกุก ซินอึย แดฮุน จางมุน ฮอนมู คยองมยอง วอนฮโย แห่งเกาหลี

     พระราชประวัติ พระเจ้าซุกจง เป็นกษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งราชวงศ์โชซอน
     ลี ซุน ประสูติเมื่อพ.ศ. 2204 เป็นพระโอรสของพระเจ้าฮยอนจงและมเหสีเมียงซอง ได้รับแต่งตั้งเป็นวังเซจา ในพ.ศ. 2210 จนพระเจ้าฮยอนจงสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2217 วังเซจาจึงได้ขึ้นครองราชย์ เป็น พระเจ้าซุกจง พระเจ้าซุกจง ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างฝ่ายตะวันตกและฝ่ายใต้ที่คุกรุ่นในสมัยพระเจ้าฮยอนจง ในต้นรัชสมัยของ พระเจ้าซุกจง ขุนนางฝ่ายตะวันตกแตกเป็นสองพวก คือ ฝ่ายที่นิยมแนวความคิดขงจื้อประยุกต์ ที่เน้นการปฏิบัติจริง และไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิม คือ ฝ่ายโซนน และฝ่ายที่นิยมหลักการดั้งเดิม เรียกว่า ฝ่ายโนนน


    มเหสีอินฮยอน 

(พระมเหสีอินฮยอน)

           มเหสีอินฮยอนเป็นพระมเหสีองค์ที่สองของ พระเจ้าซุกจง ทรงไม่มีพระโอรสให้ พระเจ้าซุกจง แต่ พระสนมซุกกี ตระกูลจาง ประสูติพระโอรสในพ.ศ. 2231 พระเจ้าซุกจง จึงทรงจะแต่งตั้งพระโอรสองค์นี้เป็นรัชทายาท และแต่งตั้ง พระสนมซุกกีเป็นพระสนมฮีบิน 


(พระสนมจางฮีบิน)

แต่ปัญหาก็เกิด เพราะพี่ชายของ สนมฮีบิน คือ จางฮีแจ เป็นขุนนางฝ่ายใต้ หากพระโอรสองค์นี้ได้เป็นรัชทายาท สนมจาง และฝ่ายใต้ย่อมมีอำนาจเพิ่มขึ้น แน่นอนวาฝ่ายโนนน (ฝ่ายตะวันตก) ไม่ยอม ซงชียอล จึงยื่นฎีกาถวาย พระเจ้าซุกจง ให้ยับยั้งการแต่งตั้งรัชทายาท ควรจะรอให้ พระมเหสีอินฮยอน ประสูติพระโอรสที่มีสิทธิชอบธรรมเสียก่อน แต่จะแต่งตั้งพระโอรสที่เกิดจากสนมเป็นรัชทายาท พระเจ้าซุกจง ทรงพระพิโรธมาก จับขุนนางฝ่ายโนนนมาสอบสวนและประหารชีวิต รวมทั้ง ซงชียอล และปลด มเหสีอินฮยอน 




ตั้ง สนมจางฮีบิน เป็นมเหสี เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การสลับขั้วทางการเมืองปีคีซา 




     ฝ่ายใต้ มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่นาน พระเจ้าซุกจง ก็ทรงเปลี่ยนพระทัย อาจเป็นพระทรงรู้สึกผิดต่อ มเหสีอินฮยอน จึงปลดมเหสีจาง ลงเป็น พระสนมฮีบิน และตั้ง มเหสีอินฮยอน กลับขึ้นเป็นมเหสี ฝ่ายโนนน กลับมามีอำนาจ เรียกว่า การสลับขั้วทางการเมืองปีคัปซอล

     ในพ.ศ. 2223 ฝ่ายใต้ ล่มสลาย เหลือแต่ ฝ่ายตะวันตก จึงแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายโนนน (พวกหัวเก่า) ประกอบด้วยขุนนางอาวุโส และ ฝ่ายโซนน (พวกหัวใหม่) มีขุนนางรุ่นใหม่ ในสมัย พระเจ้าซุกจง ฝ่ายโนนน และ ฝ่ายโซนน ขัดแย้งกันเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท ฝ่ายโนนน สนับสนุน พระเจ้ายองโจ(องค์ชายยอนอิง)

(องค์ชายยอนอิง)

แต่ ฝ่ายโซนน สนับสนุน พระเจ้าเคียงจง 
      
       ในพ.ศ. 2233 พระเจ้าเคียงจง ทรงได้เป็นรัชทายาท ทำให้ ฝ่ายโนนน เสื่อมอำนาจลงไป

(พระเจ้าเคียงจง)

      ในพ.ศ. 2244 มเหสีอินฮยอน สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคที่แปลกประหลาด


       ในปีนั้น พระเจ้าซุกจง เสด็จไปตำหนักของ สนมจางฮีบิน ก็พบสนมจาง อยู่กับพี่ชาย คือ จางฮีแจ และมี มูดัง(นางร่างทรง) กำลังทำพิธีสาปแช่ง พระเจ้าซุกจง ทรงพิโรธมาก สั่งประหาร สนมจางฮีบิน โดยการประทายาพิษแก่พระนาง และสั่งประหาร จางฮีแจ และ ขุนนางฝ่ายใต้ มากมาย



      นับแต่นั้นมา พระเจ้าซุกจง ทรงออกพระราชบัญญัติ ห้ามแต่งตั้งสนมขึ้นเป็นพระมเหสีอีก

      เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ฝ่ายโนนน จึงกลับขึ้นมามีอำนาจ แต่ ฝ่ายโซนน ก็ฉวยโอกาส สนับสนุนวังเซจาที่เป็นพระโอรสของ พระเจ้าซุกจงกับ สนมจางฮีบิน เพื่อต้านทานอำนาจของ ฝ่ายโนนน

      ในพ.ศ. 2237 พระสนมซุกบินแห่งตระกูลชอย ประสูติ องค์ชายยอนอิง ฝ่ายตะวันตก ไม่มีทางเลือกจึงต้องสนับสนุน องค์ชายยองอิงขึ้นมาเพื่อต้าน ฝ่ายโซนน

(พระสนมซุกบิน)
          
           
            ในพ.ศ. 2263 พระเจ้าซุกจง สิ้นพระชนม์ วังเซจาขึ้นครองราชย์ เป็น พระเจ้าคยองจง ทำให้ฝ่ายโซนนขึ้นมามีอำนาจ 


.
.
.
.
.
.
.
.


ขอขอบคุณ ข้อมูลดี ๆ ๆ ๆ (ที่ให้นำมาดัดแปลง) : หนังสือชะตากรรมราชวงศ์เกาหลี เขียนโดย อ.รวิโรจน์


ภาพประกอบจาก ซี่รี่เกาหลีเรื่อง ทงอี จอมนางคู่บัลลังค์ (ชอบมากเรื่องนี้นะ มันแบบดีๆๆๆ ดีกว่าละครไทยเยอะเลยละ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจาก คนที่เป็นทาสจะได้เป็น พระสนมเอกของพระราชา ฝากติดตามด้วยนะคะ)

+
+
+
+

จัดทำโดย

นายวัชรากร  กัณหา รหัสนิสิต 55010919589 รายวิชา 0026008 กลุ่ม 1

      

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดบท 8



แบบฝึกหัด

บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฏหมายและจริยธรรม  กลุ่มเรียนที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน   

รหัสวิชา 0026008

ชื่อ-สกุล นายวัชรากร  กัณหา  รหัสนิสิต 55010919589


1. นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้โดยทำการระบ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าจึงนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนคนอื่น ๆ ที่รู้จักได้ทดลอง การกระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรมหรือผิดกฏหมายใดๆหรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิดในแง่ใด จงอธิบาย
ตอบ ถือว่าผิดกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นาย B และคนอื่นๆไม่สิทธิที่จะนำเอาโปรแกรมนี้ไปใช้เนื่องจากโปรแกรมนี้ถูกคิดขึ้นมาเพื่อใช้ในงานวิจัยเท่านั้น และโปรแกรมนี้ก็เป็นการคุกคามคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นอีกด้วย

2. นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบกว่าโลกเเบนโดยมีหลักฐานอ้างอิงจากตำราต่างๆอีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ทางการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาที่ทำรายงานส่งครูโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J การกระทำอย่างนี้เป็นการทำ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฏหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ใด จงอธิบาย
ตอบ ถือว่าผิด เพราะ นาย J ได้มีการอ้างอิงถึงที่มาของข้อมูลนั้นๆ หากแต่ไม่ได้จัดทำขึ้นมาในทางวิชาการเท่านั้นเอง 

แบบฝึกหัดบท 7



แบบฝึกหัด

บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ  กลุ่มเรียนที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน   

รหัสวิชา 0026008

ชื่อ-สกุล นายวัชรากร  กัณหา  รหัสนิสิต 55010919589


1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ Firewall คือ
ตอบ รูปของโปรแกรมหรืออุปกรณ์ที่ถูกจัดตั้งอยู่บนเครือข่ายเพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่ายภานใน Internet ป้องกันผู้บุกรุก Intrusion ที่มาจากเครือข่ายภายนอก Internet

2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ 
ตอบ - Worm คือ ไวรัสที่แพร่กระจายโดยการ coppy ตนเองและส่งไปตามเครือข่าย เช่น Microsoft Excel

 - Virus Computer คือ File Intector Virus

- SPY Ware คือ ซอฟแวร์ที่ทำพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การทำโฆษณา บนอินเทอร์เน็ต

- Ad Ware คือ โปรแกรมการสนับสนุนการทำโฆษณา

3. ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ มีทั้งหมด 2 ชนิด คือ

(1.) Application Virus

(2.) System Virus

4. ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
ตอบ 1)อย่าเปิดอ่าน E-mail แปลกๆ เป็นเวลานานๆ หากมีชื่อ E-mail แปลกๆ อาจจะมีไวรัสติดมาด้วยก็ได้

         2)ใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสและกำจัดไวรัส Anti-Virus

         3)อย่าโหลดเกมส์มากจนเกินไป เพราะในแอพเกมส์จะมีไวรัสอยู่นั่นเอง

         4)สแกนไฟล์ต่างๆทุกครั้งก่อนที่จะมีดาวน์โหลดไฟล์ทุกประเภท

         5)ตรวจสอบระบบต่างๆ อยู่เป็นประจำ

5. มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะกับสังคมปัจจุบัน
ตอบ นโยบายของกระทรวง ICT
-ICT Gate Keeper

-House Keeper



แบบฝึกหัดบท 6

แบบฝึกหัด

บทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน กลุ่มเรียนที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน   

รหัสวิชา 0026008

ชื่อ-สกุล นายวัชรากร  กัณหา  รหัสนิสิต 55010919589




1.การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
 ตอบ   1.เทคโนโลยีสารสนเทศ


2.เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
ตอบ   2.ระบบการเรียนการสอนทางไกล


3.การฝาก ถอนเงินผ่านเอทีเอ็ม(ATM)เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
ตอบ   1.ระบบอัตโนมัติ 

4.ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
ตอบ   4.ถูกทุกข้อ

5.เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
ตอบ   1.การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์

6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
ตอบ   4.ถูกทุกข้อ

7.ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
ตอบ   4.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ

8.ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานสารสนเทศ?
ตอบ    3.เครื่องมินิคอมพิวเตอร์

9.ข้อใด้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ?
ตอบ   3.ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

10.ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
ตอบ   4.ถูกทุกข้อ

แบบฝึกหัดบท 5



แบบฝึกหัด

บทที่ 5 การจัดการสารสนเทศ  กลุ่มเรียนที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน   

รหัสวิชา 0026008

ชื่อ-สกุล นายวัชรากร  กัณหา  รหัสนิสิต 55010919589




1. จงอธิยายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
ตอบ คือ การผลิต, จัดเก็บ,ประมวลผล,ค้นหาและเผยแพร่สารสนเทศโดยจัดให้มีระบบสารสนเทศ กระจายของสารสนเทศ ทั้งภายในและภายนอกองค์กรค์ 


2.การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและต่อองค์กรอย่างไร  
ตอบ บุคคล คือ ในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน การศึกษาและการทำงานประกอบอาชีพ

         องค์กร คือ ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ 
                             ความสำคัญด้านการดำเนินงาน
                             ความสำคัญด้านกฏหมาย


3.พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งอกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งเป็น 2 ยุค 

               1.การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือถือ 

               2.การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์


4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
ตอบ     1.ระบบลงทะเบียนเรียน

             2.จัดหมวดหมู่ของไฟล์เอกสารในคอมพิวเตอร์

             3.ยืม คืน หนังสือของสำนักวิทยบริการ 

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดบท 4


แบบฝึกหัด

บทที่ 4 เทคโนโลยี  กลุ่มเรียนที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน   

รหัสวิชา 0026008

ชื่อ-สกุล นายวัชรากร  กัณหา  รหัสนิสิต 55010919589

1. ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยข้อละ 3 ตัวอย่าง
  
     1) การบันทึกและจัดเก็บ
       
          ตอบ  แผ่น CD

                   USB Flash Drive

                   ฮาร์ดดิส HARDDISK

      2) การแสดงผล
        
          ตอบ จอภาพ (Monitor)

               เครื่องพิมพ์ (Printer) 

               อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) 

     3) การประมวลผล

          ตอบ CPU - Central Processing Unit

                 หน่วยความจำแบบ Rom (Read Only Memory)

                 หน่วยความจำแบบ Ram (Random Access Memory)

     4) การสื่อสารและเครือข่าย

          ตอบ การ์ด LAN
                    
                      เกตเวย์ Gateway

                 เราเตอร์ Router


2.ให้นิสิตนำตัวเลขหน้าข้อความมาเติมลงหน้าข้อความในช่องที่มีความสัมพันธ์กัน

    1.ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล

    2.E-Revenue

    3.เทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสินทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้

    4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium Decoder

    5.การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย

    6.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    7.โปรแกรมที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์

    8.โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท

    9.CAI
    
  10.ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

..................................................................................................................................

    ตอบ

10. ซอฟต์แวร์ประยุกต์

6.   Information Technology

3.   คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผล

4.   เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย

1.   ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

7.   ซอฟแวร์ระบบ

9.   การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ

5.   EDI

8.   การสื่อสารโทรคมนาคม

2.  บริการชำระภาษีออนไลน์